Card image cap

 

เรียงความ “นักเรียนใหม่ 3,500 ชั่วโมง”

นตท.รุ่นที่ ๕๕ ได้ส่งเรียงความ “นักเรียนใหม่ ๓,๕๐๐ ชั่วโมง” จำนวน ๕๖๑ ฉบับ ส่วนใหญ่มีความตั้งใจสูง แต่ได้คัดเลือกผลงานชั้นเยี่ยมเพื่อมอบรางวัลจำนวน ๒๕ นาย สำหรับรางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ นตท.พิสิษฐ์ สว่างใจธรรม ชั้นปีที่ ๑ ตอน ๗ เหล่า ทร. ขอชมเชยในฝีมือในการถ่ายทอดความคิดมาเป็นตัวหนังสือสามารถทำได้อย่างยอด เยี่ยม ที่สำคัญคือมีความตั้งใจในการทำงานเป็นอย่างมาก “องค์ประกอบที่สำคัญของผู้นำ คือ ผู้ที่สามารถถ่ายทอดความคิดให้ผู้อื่น ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ได้อย่างถูกต้อง" ... ขอเชิญ ทุกท่านติดตามอ่าน “นักเรียนใหม่ ๓,๕๐๐ ชั่วโมง” โดย นตท.พิสิษฐ์ สว่างใจธรรม ครับ

การเรียนของนักเรียนเตรียมทหาร ทุกคนจะต้องเรียนหลักสูตรมัธยมปลาย ในสายการเรียนวิทย์-คณิต และจะต้องเรียนวิชาทหารควบคู่ไปด้วย นักเรียนปี ๑ นั้น เดือนแรกต้องอยู่ในโรงเรียนตลอด เพื่อปรับสภาพจากนักเรียนพลเรือน เป็นนักเรียนทหาร ทิ้งความสนุกจากโลกภายนอก เข้าสู่โลกของระเบียบวินัยแบบทหาร และเพื่อปรับสภาพจิตใจให้เข้มแข็ง จนผ่านการรับจักรดาวแล้ว จึงจะได้กลับบ้านแค่เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น และในช่วงนี้ เราจะยังเรียกตัวเองว่าเป็น “นักเรียนเตรียมทหาร”ไม่ได้เรามีสิทธิ์เรียกตัวเองได้แค่ว่าเป็น“นักเรียน ใหม่”เท่านั้นเอง

วันแรกของการเป็นนัก เรียนใหม่ของผม เต็มไปด้วยความวิตกกังวลพอสมควร เพราะกิตติศัพท์ความหฤโหด จากการถูกซ่อม และถูกกดดัน ที่เคยได้ยินมา น่ากลัวอยู่ไม่น้อยทีเดียว และเมื่อได้มาสัมผัสจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่า ช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นเวลาทดสอบความอดทนอย่างแท้จริง ใครจะอยู่หรือไป ก็จะรู้กันในช่วงนี้ ส่วนตัวเองนั้นยอมรับว่าเหนื่อยและอ่อนล้ามากในหลายๆ เรื่อง แต่เรื่องที่กดดันและบีบคั้นความรู้สึกมากที่สุดน่าจะเป็นที่ช่วงแรกๆ รุ่นพี่จะพูดจาไม่ดีใส่ เพราะว่าต้องการทดสอบความเข้มแข็งของจิตใจ รุ่นพี่สั่งอะไรมาเราต้องทำตามคำสั่ง ห้ามถาม ห้ามสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น เข้ามาใหม่ๆ มีเรื่องอึดอัดมาก และยังมีคำสั่ง “ห้ามชี้แจง“ เรื่องใดๆ ทั้งสิ้นอีกด้วย บางครั้งก็อัดอั้น เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ผิดแต่พูดอะไรไม่ได้ต้องเฉยๆไว้ทำตามคำสั่งไปซึ่งถ้า มองในแง่ดีก็คือฝึกให้เรามีความอดทนอดกลั้นนั่นเอง

แต่สำหรับตัวผมเอง นั้น พูดได้เลยว่า ไม่เคยมีสักครั้งที่คิดถอดใจ คำพูดที่พูดกับตัวเองเสมอ คือ “ถึงให้ลำบากแทบตายยังไง..ก็ไม่ลาออกเด็ดขาด” นึกถึงพ่อแม่อยู่ตลอดเวลาที่มีความรู้สึกเหนื่อยล้า บอกตัวเองว่าห้ามถอยเด็ดขาด เพราะผมต้องการทำให้พ่อแม่ได้ภาคภูมิใจในตัวผม ความยากลำบากของผม มันไม่อาจเทียบได้กับความยากลำบาก ที่พ่อแม่ได้พยายามทำทุกอย่างให้ผมเข้ามาเรียนที่นี่ แค่เราต้องมีจุดมุ่งหมายว่า สิ่งที่เราทำนั้นทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไร เมื่อเรามีเป้าหมายในชีวิตแล้ว สิ่งที่ยากลำบากนั้นมันก็จะง่ายดายขึ้นมาทันที

พ่ออาบเหงื่อต่างน้ำทำงานหนัก
แม่ที่รักของเราก็เฝ้าห่วง
หวังให้เราเทียมเท่าเขาทั้งปวง
โดยไม่ทวงบุญคุณให้ขุ่นใจ
ใจของลูกตอนนี้ก็มุ่งมั่น
ไม่เหหันรวนเรเถลไถล
เรื่องเที่ยวเตร่เฮฮาเลิกสนใจ
ท่องเอาไว้ว่าตอนนี้หน้าที่เรียน...

สภาพชีวิตของนัก เรียนใหม่ เป็นสภาพชีวิตที่หนักหน่วง เหมาะสำหรับคนที่"ใจสู้" และ ”มุ่งมั่น” จริงๆ เท่านั้น ช่วงเช้าถึงบ่ายศึกษาวิชาการ ในเวลาอื่นจะมีแต่การฝึก ที่นี่ต้องสอนนักเรียนกันใหม่หมดทุกอย่างให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง เช่นการยืน การเดิน การนั่ง การพูด การกิน และแม้กระทั่งความคิด ตลอดเวลาเราต้องเผชิญกับสารพัดคำสั่งจากทุกทิศทาง มีเรื่องที่ต้องทำตามคำสั่งเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง เราต้องทำตามคำสั่งให้เสร็จ ไม่ใช่ทำให้ได้อย่างเดียว ต้องทำให้ดีด้วย ในเวลาที่มีจำกัดเพียงน้อยนิด สมองต้องท่องจำไว้เสมอว่า “ ทำไม่ได้ไม่มี!!!..."

ชีวิตช่วงของการเป็น นักเรียนใหม่ เป็นห้วงเวลาที่ผมเองไม่มีวันที่จะลืมเลือนไปตลอดชีวิตเลยจริงๆ ร่างกายของผมปวดเมื่อยไปทุกส่วน จะวิ่งขึ้นหรือลงบันได บางครั้งต้องเอามือเกาะราวบันไดไว้ มันปวดเมื่อยจนไม่อาจจะพรรณนาได้ว่า ความรู้สึกนั้นเป็นเช่นใด ช่วงนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากชีวิตนักเรียนมัธยมที่สนุกสนานของผม มาเป็นนักเรียนทหารที่มีแต่ระเบียบวินัยมากำกับ ชีวิตเด็กผู้ชายวัย ๑๖ ปี ถูกนำมาหลอมละลายและตีแบบขึ้นรูปชีวิตใหม่ เพื่อต้องการให้ผมเป็นสุภาพบุรุษวินัยเหล็ก ให้มีความกล้าหาญ เสียสละและรับผิดชอบอย่างสูง เพื่อเตรียมตัวเองให้ไปเป็นผู้ดูแลประเทศชาติในอนาคตที่ดี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ตัวผมเองเดินเข้าโรงเรียนนี้มา ด้วยใจที่เกินร้อยยังรู้สึกเลยว่า แต่ละวันช่างผ่านไปอย่างยากลำบากเสียเหลือเกิน และผมคิดว่า แม้แต่โรงเรียน นายทหาร หรือพี่คอมแมนเอง ก็ยากลำบากไม่แพ้กัน เพราะเด็กแต่ละคน มีพื้นฐานทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจแตกต่างกัน ทุกคนเมื่อมาพบเจอระบบ มาพบเจอความจริงที่อยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ ก็อยู่ที่ร่างกายและจิตใจของแต่ละคนว่าจะทนทานต่อระบบของโรงเรียนแห่งนี้ได้ ถึงระดับใด

เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง ฤๅจะมุ่งมาศึกษา
เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดกระนั้นฤๅ
แท้จริงเจ้าควรคิด จงตั้งจิตและยึดถือ
รับใช้ชาติไทยคือ ปลายทางเราที่เล่าเรียน

ชีวิตนักเรียนใหม่ ของผม เริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่ต้องรีบตื่นมาเก็บที่นอนจัดของก่อนอย่างเงียบๆ และเมื่อแตรนอนดังเวลา ๐๕.๑๕ รวมทั้งเสียงนกหวีด เราก็ต้องรีบวิ่งลงมาจัดแถวหน้ากองพันให้ทันก่อนแตรจบ กับเวลาที่ให้เพียงน้อยนิด ซึ่งสรุปแล้วโดนทำโทษตลอดเพราะไม่เคยจัดแถวได้ทันเวลาเลย จัดแถวเสร็จแล้ว ก็มาท่องคำปฏิญาณ “ตายในสนามรบ เป็นเกียรติของทหาร” “ตายเสียดีกว่า ที่จะละทิ้งหน้าที่” หรือที่แอบพูดกันบ่อยๆ แบบขำๆว่า “ ตายในสนามรบ ดีกว่ากระโดดกบไปพัน ๓ หรือ ตายเสียดีกว่าที่จะอยู่ที่นี่” จากนั้นก็ออกกำลังกาย หลังจากนั้นก็จะนำแถววิ่งไปทานอาหารเช้า นักเรียนใหม่จะไม่มีสิทธิ์เดินภายในโรงเรียน ไม่ว่าจะไปไหนต้องวิ่งตลอดเวลา การทานข้าวต้องทานด้วยการกินฉาก กินข้าวเสร็จก็จะมาทำการฝึก ภาคเช้าก็จะฝึกพวกระเบียบแถวต่างๆ หรือที่เรียกว่าฝึกแถวชิด รวมทั้ง การเดิน การวิ่ง การถอดหมวก สวมหมวก การแลผ่าน สวนสนามและอีกหลายๆอย่าง พวกเราถูกฝึกให้รู้จักการเดินใหม่ ทั้งๆ ที่เดินมาแล้ว ๑๖ - ๑๗ ปี เรียนรู้การเข้าแถวแบบทหาร การวิ่งแบบทหาร การหมอบ การหัน การสวนสนาม การออกกำลังกาย แทบจะทุกอิริยาบท

พูดถึงความประทับใจ ในโรงเรียนเตรียมทหารแห่งนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมประทับใจครับ

เรื่องประทับใจสิ่งแรกคือพี่คอมแมน "คอมแมน" มาจากคำภาษาอังกฤษว่า คอมแมนเด้อ (COMMANDER) ใช้เรียก พี่ๆ ชั้นปีที่ ๓ ที่มีลักษณะทหารดี มีระเบียบวินัยดี และผ่านการฝึกหลักสูตรนักเรียนบังคับบัญชามา แปลเป็นภาษาไทยให้สวยหรูว่า "นักเรียนบังคับบัญชา" พี่คอมแมนจะคอยสอนคอยบอกเกี่ยวกับ กฎ กติกา ต่างๆ ที่เราจะต้องยอมรับ และปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราไม่เคยรู้มาก่อน และในเมื่อเราได้ทราบทุกอย่างดีแล้ว ก็เป็นช่วงของการทดสอบว่าเราปฏิบัติตามกฎได้ดีแค่ไหน โดยการเอาโทษต่างๆ มากำกับมากขึ้นทุกๆ วัน ซึ่งในแต่ละวันนั้นจะหนักหรือจะเบาขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของเราเอง พี่คอมแมนจะให้เราท่องบ่นอยู่ตลอดเวลาว่า"ความทุกข์ที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน" ซึ่งก็จริงอย่างที่ไม่อาจเถียงได้เลย การที่ผมมาเรียนที่โรงเรียนนี้ ทำให้ผมรู้ว่าผมมีความอดทนกว่าที่ผมเคยคิดไว้มากที

แต่ไม่ว่านักเรียน ใหม่จะฝึกจนเหนื่อยแทบขาดใจขนาดไหน ก็มักจะได้รับการคุยทับอยู่เสมอจากพี่คอมแมนในทำนองว่า "รุ่นเอ็งนี่มันอ่อนจริงๆ” และก็มักตามมาด้วยคำพูดที่ว่า รุ่นตัวเองโดนฝึกมาหนักหนากว่ารุ่นพวกเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า พร้อมกับคำพูดตบท้ายว่า "ใครทนไม่ได้ ก็ลาออกไปเลย ไม่ต้องมาเรียน ไม่มีใครง้อให้พวกเอ็งมาเรียน" อันนี้เท่าที่มารู้มาภายหลังก็คือ มันเป็นเหมือนวงล้อที่หมุนเวียนทับกันเสมอมา รุ่นพี่พูดกับเราอย่างนี้ พอถึงเวลาเราเป็นรุ่นพี่ เราก็คงพูดกับรุ่นน้องอย่างนั้นเหมือนกัน ทีแรกก็หลงเจ็บใจเสียแทบแย่

คอมแมนจะมีหน้าที่ ฝึกพวกระเบียบแถวต่างๆ และหน้าที่หลักอีกหน้าที่หนึ่งก็คือคอยลงโทษนักเรียนใหม่ด้วยการให้ออกกำลัง กายเพื่อปรับปรุงสภาพร่างกาย ซึ่งมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า “การซ่อม” มีชื่อเรียกเต็มๆ ให้ดูดีว่า “การธำรงวินัย” หรือมีชื่อเรียกกันในหมู่พี่น้องแบบกันเองว่า “โดนแดก”... ทุกชื่อล้วนมีความหมายอย่างเดียวกันหมดคือการลงโทษด้วยการให้ออกกำลังกายใน ท่าต่างๆ ที่ทางโรงเรียนและนายทหารปกครองพิจารณาแล้วว่าเป็นท่าที่เหมาะสม ปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย และไม่ปล่อยให้ทำอย่างไร้เป้าหมาย โรงเรียนต้องออกแบบท่าทาง รวมถึงระบบขั้นตอนและวิธีการทำโทษต่างๆ ให้มีการควบคุมกำกับดูแล ตามสายการบังคับบัญชาโดยเคร่งครัด ไม่ใช่ให้นักเรียนแอบทำกันเอง ระบบนี้มีไว้เพื่อการเปลี่ยนแปลงเด็กธรรมดา ที่มาจากทั่วทุกสารทิศของประเทศไทย ให้มีบุคลิกภาพอันเหมาะสมกับความเป็นทหารตำรวจ ด้วยวิธีที่รวดเร็ว หนักหน่วง บีบคั้นทั้งร่างกาย และจิตใจ แต่เราก็รู้ว่าทุกอย่างที่ทั้งทางโรงเรียน นายทหาร และพี่คอมแมนทำนั้น ทำด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่เป็นการแกล้งเพื่อเอาความสนุกไป

คำที่ได้ยินจากพี่ คอมแมนจนคุ้นชินหูคือ “นักเรียนใหม่...ฟัง!!!!” ซึ่งถ้าได้ยินประโยคนี้ ก็เตรียมตัว เตรียมใจ กันได้เลย พี่คอมแมนจะหาความผิดให้เราอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะรายการแปลกๆ แบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่น จอนกันไม่เท่ากัน ขนจมูกยาว กระดุมมีขน หัวเข็มขัดด้านในไม่ขัด สาบเสื้อไม่ตรงสาบกางเกง ขัดรองเท้าไม่มัน ดึงถุงเท้าไม่เท่ากัน ปลายเข็มขัดไม่มัน เพราะฉะนั้นอย่าหวังเลยว่าในวันหนึ่งๆ นักเรียนใหม่จะรอดพ้นจากการถูกแดกไปได้ อย่างน้อยท่าใดท่าหนึ่ง ก็ต้องมีร้อยขึ้นทุกวัน

เรื่องประทับใจ เรื่องที่สองคือการ “กินมิกซ์” การกินมิกซ์ เป็นการทำโทษอย่างหนึ่งเพื่อเป็นการสร้างความอดทน วิธีการก็คือจะให้เอาอาหาร ข้าว ของหวาน รวมกันในหม้อข้าว แล้วก็ให้ตักกิน อาจจะใช้มือ หรือช้อนก็ตามแต่คนสั่ง แรกๆ ผมมีความรู้สึกว่าไม่ไหวจริงๆ รับไม่ได้เลย แต่ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ที่เราไม่มีเวลาคิดอะไรมาก หิวก็หิว เวลาก็น้อย คิดมากก็มีหวังอดตาย ก็เลยต้องกินๆไป พอมาหลังๆ ก็ออกแนวปลงๆ ครับ มื้อที่ประทับใจที่สุด จำไม่ลืมเลย ก็จะเป็นมื้อที่มีพะแนงหมู กับ นมสตอเบอรี่รสชาติสุดบรรยายจริงๆ แต่ก็มีคนเคยพูดว่าในชีวิตจริงของพวกทหารตำรวจบางครั้งตกอยู่ในสนามรบ ที่ล้อมรอบไปด้วยข้าศึกการส่งกำลังทำไม่ได้ บางทีเราจำเป็นต้องกินของเน่าที่เหลืออยู่เพื่อประทังชีวิต หรือบางคนต้องดื่มน้ำปัสสาวะตัวเอง เพื่อให้ชีวิตรอดก็มี ซึ่งสิ่งเหล่านั้นย่อมจะยิ่งแย่กว่าสิ่งที่เราพบเจอในโรงเรียนแห่งนี้เป็น ไหนๆ เรื่องประทับใจ

เรื่องที่สามคือ “เรื่องการแต่งตัว” เมื่อเข้ามาอยู่โรงเรียนเตรียมทหารนั้น สิ่งแรก ๆ ที่ได้รับการปลูกฝัง และถ่ายทอดจากรุ่นพี่ก็คือ การแต่งตัวต้อง “เนี๊ยบ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขัดรองเท้าหนังให้เงาดุจแผ่นกระจกเรียกได้ว่าถ้ายิงฟัน ใส่รองเท้าก็จะสามารถมองเห็นขี้ฟันกันเลยทีเดียว

ในการแต่งตัวให้ออก มาดูดีนั้น จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่มักจะไม่รอดกันที่รองเท้า ใครไม่เงาก็ต้องโดนทำโทษ ซึ่งในสัปดาห์แรกๆ รับรองว่าโดนเรื่องนี้กันแทบทุกคน เพราะว่ากว่ามันจะเงาจนเป็นที่พอใจของพี่คอมแมน ก็ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ ต้องขัดแล้วขัดอีก ต้องขัดแทบทุกครั้งที่มีเวลาว่างเลยทีเดียว การขัดรองเท้าในเวลาว่าง ก็เป็นกิจกรรมกลุ่มที่ฮิตอีกกิจกรรมหนึ่ง พวกเราจะมานั่งล้อมวงจับกลุ่มขัดรองเท้าและคุยกัน ถามสารทุกข์สุกดิบ ปรับทุกข์ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ บ่นนู่บ่นนี่ กันไปเรื่อยเปื่อย ทำอย่างกับอยู่ในงานปาร์ตี้ก็ไม่ปาน และเมื่อขัดจนได้เงาสมใจแล้ว ก็จะเกิดอาการหวงแหนระวังรักษารองเท้าสุดชีวิต เวลาเดินนี่ต้องระวังกลัวจะไปเตะโน่นเตะนี่ แต่ยิ่งระวังก็จะยิ่งโดนเสียเรื่อยไม่รู้เป็นอะไร และถ้าเกิดเหตุเดินเหยียบเท้ากัน ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยมาก เหยียบกันทีนี่ อยากจะกระโดดกัดหูให้ขาด แต่ถ้าพวกๆเดียวกัน ก็จะขอโทษขอโพยกัน เหมือนกับว่าไปเหยียบชามสังคโลกราคายี่สิบล้านของเพื่อนแตกกันเลยทีเดียว

เรื่องประทับใจ เรื่องที่สี่คือ “เพื่อน“ การเข้ามาเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร ต้องยอมรับว่ามีทั้งสุข ทั้งทุกข์ ปะปนกันไป และความรู้สึกที่ทรมานจิตใจมากๆ ในช่วงแรกคือความเศร้าความเหงา แบบที่ใครไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง จะไม่มีวันเข้าใจเป็นอันขาด เพราะฉะนั้นคนที่สำคัญกับเราที่สุดคือเพื่อน ในเวลานั้นเพื่อนดูเหมือนจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา ช่วยได้เมื่อเวลามีทุกข์ คอยปลอบใจกันไปมา โรงเรียนนี้สอนให้เราต้องปฏิบัติตนเป็นหมู่เหล่า และเรียนรู้ซึ่งกันและกันที่จะอดทนต่อความง่วง ความอยาก ความหิว และความโกรธ เราถูกสอนให้รักหมู่คณะ ด้วยการรับผิดชอบร่วมกันในแทบจะทุกเรื่อง แม้ว่า มีบ่อยครั้งที่เราเข้าใจไม่ตรงกัน แต่เราก็ไม่เคยทะเลาะหรือลงไม้ลงมือกันเลย เพราะลำพังแค่พุ่งหลังก็หมดแรงแล้ว การเรียนเตรียมทหาร ทำให้ผมได้เรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกัน ใช้ชีวิตร่วมกันกับเพื่อนที่มาจากทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งมีทั้งบ้านนอกสุดๆ ไปจนถึงรวยล้นฟ้า ทุกคนต้องโดนลงโทษเมื่อทำผิดกฎระเบียบของโรงเรียนโดยเสมอภาคกัน หรือ เมื่อมีพิธีการ "ขุด" ทุกสิ่งอย่าง ทุกคนต้องขุดเหมือนกันหมด ต้องเหนื่อยเท่ากันหมด กินข้าวหม้อเดียวกัน เติบโตมาด้วยกัน เรียนมาด้วยกัน ช่วงชีวิตวัยรุ่น วัยอันตรายสำหรับเด็กผู้ชายหลายๆคน แต่ผมกำลังได้รับการหล่อหลอมอย่างดีที่สุดจากที่นี่ โรงเรียนเตรียมทหารแห่งนี้ ทั้งลักษณะทหาร ลักษณะผู้นำ ความรับผิดชอบ ความรักชาติ วิชาความรู้ และประสบการณ์ ที่หาที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว ถึงเราทุกคนจะฝึกหนักและกดดันแค่ไหน แต่สิ่งที่ได้ ผมคิดว่าคุ้มค่ามาก เพราะทำให้เพื่อนๆ ในรุ่นสามัคคีและรักกันมากขึ้น เนื่องจากต้องร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันแทบจะ ๒๔ ชั่วโมงทีเดียว

เรื่องประทับใจ เรื่องที่ห้า เรื่องสุดท้ายคือ “ประเพณีการขุด” การขุด คือ การทำให้เรารู้ถึงคุณค่าของสิ่งของที่เราจะได้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายหรือ เครื่องแต่งกายแต่ละชิ้น เมื่อการขุดแต่ละอย่างเสร็จสิ้นลง ย่อมเป็นการแสดงว่าเราพร้อมที่จะรับสิ่งของชิ้นนั้น และพร้อมที่จะก้าวมาเป็นนักเรียนเตรียมทหารอย่างเต็มตัว ซึ่งวิธีการขุด คือ การทดสอบความอดทนร่างกายและจิตใจอย่างหนักหน่วง เราจะต้องแสดงถึงความตั้งใจว่าเราจะพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่คอมแมน สั่งให้ดีที่สุด และเต็มที่ที่สุด พี่ๆ จะให้เราขุดทุกอย่างที่เราควรจะได้ ไม่ว่าจะเป็น เข็มขัด หัวเข็มขัด แพรแถบ ป้ายชื่อ กระเป๋า รองเท้า เสื้อคอฟ้า และอีกสารพัดอย่างที่พี่คอมแมนจะนึกออก แต่ที่ รร.ให้ความสำคัญกับการขุดเป็นอย่างมากมีอยู่ ๓ รายการคือ ขุดจักรดาว ขุดเครื่องแบบปกติ และขุดแหวน การขุดส่วนมากจะทำในเวลากลางค่ำกลางคืนที่ควรจะเป็นเวลานอนนี่แหละ และในคืนของการขุดก็อย่าหวังว่าจะได้หลับได้นอนกันเลย มันต้องสุดๆ เพราะรุ่นพี่กลัวเราจะไม่ภาคภูมิใจในสิ่งที่กำลังจะได้ เขาจะคอยมาปลุก แล้วสั่งให้เราออกกำลังกายอย่างหนักถึงหนักที่สุดตลอดทั้งคืน ก่อนพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มต้นในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ผมและเพื่อนนักเรียนใหม่ทุกคนก็ผ่านมาได้ ไม่ว่าจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน ไม่มีใครตายเพราะการออกกำลังกายจริงๆ ครับ มีแต่จะได้กำลังและความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นกับตัวเอง และสิ่งที่ได้แน่ๆสำหรับพิธีการขุด คือ“ความภูมิใจ”ในสิ่งที่ได้มาในแต่ละอย่างจริงๆ

ชีวิตนักเรียนใหม่ของผมที่ผ่านมา จะมีเหตุการณ์ที่สำคัญของชีวิตอยู่ ๔ เหตุการณ์

เหตุการณ์แรกคือ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ โรงเรียนเรียกวันนี้ว่า ”วันพบญาติ” หรือ “วันเติมกำลังใจ” วันนี้เป็นวันที่นักเรียนใหม่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยมาตลอด ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ที่พ่อแม่มาส่งตัวเข้าโรงเรียน รอวันที่จะได้พบกับท่านอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อวันนี้มาถึง สิ่งแรกที่นักเรียนใหม่แสดงออกให้ผู้ปกครองได้เห็นคือ การเดินแถวที่สวยงามและพร้อมเพรียง มายังลานหน้าโรงอาหาร และก้มลงกราบพ่อแม่ ด้วยพวงมาลัยพวงเล็กๆหนึ่งพวง พวงมาลัยพวงนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ ความคิดถึง และความรู้สึกมากมายที่สะสมมาตั้งแต่วันแรก วันนี้เราจะได้ระบายมันออกมาเสียที หลายคนที่ไม่ต้องการให้พ่อแม่เป็นห่วง ก็เก็บความอ่อนแอไว้ข้างใน ไม่แสดงออกมาว่าเราเหนื่อย หรือ เราท้อเพียงใด แต่สำหรับบางคนที่แสดงมันออกมาให้พ่อแม่เห็นก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาเหล่านั้น ต้องการให้พ่อแม่เป็นห่วงและไม่สบายใจ แต่เพราะว่า ความเข้มแข็งในจิตใจ ของแต่ละคนนั้น มีไม่เท่ากัน แต่สุดท้ายแล้ว ทุกคน ก็ต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะทั้งพ่อแม่ หรือนักเรียนใหม่ทุกคนย่อมรู้ดีว่าปลายทางของถนนสายนี้มีอะไรรอเราอยู่

เหตุการณ์ที่ ๒ คือ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ เป็นพิธีประดับตรา "จักรดาว" บนหน้าอก ในวันไหว้ครู ซึ่งวันนี้ผมได้เปลี่ยนเครื่องแบบ เป็นเครื่องแบบนักเรียนเตรียมทหารชั้นใหม่ หรือถูกเรียกเล่นๆว่า"ชุดกำนัน"อีกด้วย...

“จักรดาว” เครื่องหมายชิ้นแรกที่ นักเรียนใหม่ได้รับ หลังจากที่เข้ามาอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้สักระยะหนึ่งแล้ว เป็นการแสดงให้เห็นว่า เรามีความพร้อมมากขึ้นแล้วที่จะเป็นนักเรียนเตรียมทหาร เป็นน้องที่ดีของพี่ทั้ง ๒ ชั้นปี และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราได้รู้จักกับคำว่า “ ขุด ” เป็นการทำความรู้จักที่ยากลำบากแสนสาหัสเลยทีเดียว ในช่วงแรกเป็นการพบพี่รหัสทั้ง ๒ ชั้นปี หลังจากนั้นก็เป็นการพบปะกับ ๕ ทหารเสือกรมนักเรียน ถึงแม้ว่าเราจะเหนื่อยมากแต่ใจเราก็สั่งว่าต้องไหว พวกเรา วิ่ง ลุก หมอบได้อย่างไม่ย่อท้อ เพราะต้องการให้พี่ๆยอมรับและประทับใจ เราจึงตั้งใจทำกันสุดชีวิต และสุดท้ายคือ การที่ต้องตื่นขึ้นมาท่ามกลางค่ำคืนที่ดึกสงัด โดยการปลุกของ หน.มว. เมื่อปลุกแล้วก็นำ นักเรียนใหม่ทั้งหมวดมาอยู่รวมกันในห้องๆ หนึ่ง และหลังจากนั้นก็สั่งให้กอดคอกันลุก-นั่งแบบไม่รู้จุดจบ จากห้องปกติ ก็กลายเป็นห้องที่ท่วมไปด้วยเหงื่อของพวกเรา และหลังจากผ่านการลุก-นั่งไปแล้ว แล้วก็ได้เดินจูงช้างกันไปที่ห้องน้ำ และได้พบกับ จักรดาวที่วางเรียงกันสวยงามอยู่ในอ่างอาบน้ำ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราลืมความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดที่ผ่านมาและในวันรุ่ง ขึ้นเราก็ได้ทำพิธีประดับ”จักรดาว”อันน่าภาคภูมิใจไว้บนหน้าอกเรา

เครื่องหมายจักรดาวมีลักษณะเป็นรูปคบเพลิง-จักร-ดาว-รองรับด้วยช่อชัยพฤกษ์ ซึ่งแต่ละสิ่งมีความหมายดังนี้

คบเพลิง หมายถึง การศึกษาและความรุ่งโรจน์ จักร(เวียนซ้าย) หมายถึง เครื่องหมายยศของนายพลแห่งกองทัพเรือ

ดาว(เงิน) หมายถึง เครื่องหมายยศของนายพลแห่งกองทัพอากาศ

ช่อชัยพฤกษ์ หมายถึง เครื่องหมายยศของนายพลแห่งกองทัพบก

เหตุการณ์ที่ ๓ คือ วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔ พิธีแต่งชุดนักเรียนเตรียมทหารเต็มยศ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ชุดปกติ” คือ เปลี่ยนจากชุดกำนัน คือกางเกงขายาวใช้แบบเดิมเป็นกางเกงทหารบกสีเขียว เสื้อจากเชิ้ตขาวแขนสั้น เป็นเสื้อเชิ้ตขาวแขนยาวสีขาวแบบทหารเรือ หมวกเป็นสีเทาออกน้ำเงินแบบทหารอากาศ หน้าหมวกเป็นสัญลักษณ์คล้ายตราแผ่นดินของตำรวจ ถือกระเป๋าหนังเจมส์บอนด์อย่างเท่ห์ รองเท้าหนังสีดำขัดมันเงางาม ผมเชื่อว่า ในขณะนั้น นักเรียนเตรียมทหารทุกคนคงคิดตรงกันว่ามันช่างเท่ห์จริง ๆ เลย โดยเฉพาะ เมื่อต้องเดิน "ยืดอก เก็บคาง ตามองตรงไปข้างหน้า " เหมือนหุ่นยนต์ เรียงกันเป็นทิวแถว เครื่องแบบชุดปกติ เป็นชุดที่รู้จักกันทั่วประเทศ โดยภายใต้ชุดนั้นประกอบไปด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ ความเข้มแข็ง และอีกมากมาย ดังนั้นผู้ที่สวมใส่จะต้องมีคุณสมบัติที่ครบถ้วน จึงมีการนำการขุดเข้ามาเพื่อตรวจสอบว่าเราพร้อมหรือยัง ซึ่งหลักๆก็คือ การสร้างความภาคภูมิใจ เพราะเราก็จะเข้าใกล้คำว่า นักเรียนเตรียมทหาร อีกก้าวหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเราได้อะไรต่างๆ มากขึ้น สิ่งเหล่านั้นก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบของเราที่เพิ่มขึ้น ทั้งเครื่องหมายที่เราต้องขัดมากขึ้น การรักษาท่วงท่า ท่าที ความสง่างามก็ต้องมากกว่าเดิม เพราะเราได้เครื่องแบบที่เต็มยศมาแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็เต็มใจที่จะทำ เพราะความภาคภูมิใจที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เป็นแรงผลักดันที่ดี

เหตุการณ์ที่ ๔ คือวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๔ โรงเรียนเตรียมทหาร ได้จัดให้มีพิธีสวมแหวนรุ่นให้กับนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ ๑ ซึ่งพิธีดังกล่าวมีความสำคัญมาก สำหรับนักเรียนเตรียมทหาร หากนักเรียนเตรียมทหารคนไหน ยังไม่ได้ทำพิธีสวมแหวนก็ได้ชื่อว่ายังไม่ได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารเต็มตัว การให้นักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่เป็นผู้สวมแหวนให้นักเรียนเตรียมทหารรุ่น น้อง ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงความเป็นพี่น้องร่วมสถาบัน และเป็นการแสดงว่ารุ่นพี่ ได้รับนักเรียนใหม่เป็นรุ่นน้องโดยสมบูรณ์ นอกจากนี้ แหวนรุ่น ยังเป็นสิ่งแสดงความผูกพัน ระหว่างเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นพี่-รุ่นน้องร่วมสถาบันเดียวกันด้วยและในวัน เดียวกันพวกเราทุกคนก็จะได้แต่งกาย ”ชุดพิเศษ” คือ เสื้อสีน้ำเงิน กางเกงขาว หมวกสีขาว เท่ห์มาก เมื่อรุ่นพี่ปีสามสวมแหวนรุ่นให้แล้ว เราก็เดินรอด "ซุ้มแหวน" ขนาดใหญ่ที่ทางโรงเรียนเตรียมทหารจัดไว้ให้

แหวนรุ่น เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากต่อนักเรียนเตรียมทหารทุกนาย เนื่องจากเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นรุ่น ความสามัคคีและความพร้อมที่จะก้าวจากนักเรียนใหม่มาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร โดยการขุดแหวนของรุ่นผมนั้นใช้เวลาทั้งหมด ๔ วัน ๕ คืน เริ่มด้วยการเข้าโรงเรียนมาในวันอาทิตย์ ผู้หมวดพัน ๓ ท่านกรุณาเสียสละเวลาส่วนตัวมาเพื่ออุ่นเครื่องให้เราให้พร้อมสำหรับการขุด แหวน กฎ ระเบียบต่างๆก็เริ่มทวีความเข้มข้นมากขึ้น โทษที่นำมากำกับก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากต้องการความพร้อมในการที่จะเป็นนักเรียนเตรียมทหารอย่างเต็มตัว และเวลาพักผ่อนของเราในทุกวันก็เริ่มน้อยลง เพราะในช่วงเวลากลางคืนนั้น ก็มีการปลุกนักเรียนใหม่ขึ้นมาเพื่อทำการขุดเช่นกัน โดยเฉพาะในวันก่อนวันรับแหวน หลังจากที่ซ้อมพิธีเสร็จในช่วงเย็น ก็มีการพบปะกับพี่รหัสทันที โดยในช่วงนั้นก็เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่นักเรียนใหม่อย่างผมประทับใจมาก เป็นการขุดท่ามกลางสายฝนที่ผมจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต และหลังจากการขุดเสร็จก็มีการจุดพลุฉลอง และมีงานเลี้ยงสังสรรค์อย่างสนุกสนาน สุดท้ายก็คือการรับการขุดจากนร.บช.ในหมวดของตนเอง ซึ่งทำให้ในคืนนั้นนักเรียนใหม่ก็อดหลับอดนอนกันเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้ กับตนเอง และในรุ่งเช้าเราก็ได้รับแหวนร่วมกัน และในวันนี้เองเราก็จะเรียกตัวเองว่าเป็น “นักเรียนเตรียมทหาร” ได้อย่างสมภาคภูมิ พวกเราได้ช่วยกันทำให้รุ่น “๕๕” ของพวกเราเกิดขึ้นแล้ว และแหวนวงนี้ เราจะรักษามันไว้ให้ดีตลอดไป

แหวนเทิดศักดิ์ จากดวงใจรักของพี่
มอบด้วยจิตไมตรี เป็นเตรียมทหารที่สมบูรณ์
จะเหล่าใดไม่สำคัญ เรารักกันมั่นมิเสื่อมสูญ
เชิดชูเกียรติเทิดทูน มิลืมพระคุณจักรดาว

มา ณ วันนี้ ผ่านไปแล้วเกือบ ๓,๕๐๐ ชั่วโมง ชีวิตนักเรียนใหม่ ได้ผ่านพ้นไปแล้วด้วยดี แม้จะมีเพื่อนบางคน ที่ค้นพบตัวเองว่า หนทางนี้ไม่ใช่หนทางที่ตัวเองต้องการ และได้ออกไปใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเองนอกรั้วจักรดาวไปแล้ว แต่เพื่อนส่วนมากที่อยู่นั้น ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยด้วยดี แข็งแรง เติบใหญ่ มีความรับผิดชอบและมีลักษณะทหารที่น่าชื่นชม ตัวตรงสง่าผ่าเผย ถึงได้มีคนกล่าวไว้ว่า ถ้าอยากจะได้ดาบสวยๆ สักเล่มหนึ่ง ก็ต้องใช้ไฟแรง ตีมันเข้าไป หากไม่ได้ผ่านพ้นภาวะวิกฤติเช่นที่พวกผมได้พบเจอมาในช่วงการเป็นนักเรียน ใหม่ พวกผมและเพื่อนๆทุกคนก็ไม่มีทางที่จะสง่างามได้เช่นนี้แน่นอน

ผมขอสัญญาว่าในอนาคต ข้างหน้าผมจะปฏิบัติหน้าที่ของ “นายทหารเรือ” ของผมอย่างดีที่สุด และท้ายสุดนี้ ผมอยากจะขอขอบพระคุณผู้หมวด ผู้กอง กรมนักเรียน กองพยาบาล คณาจารย์ที่ส่วนการศึกษาที่รักและเคารพทุกท่าน และพี่คอมแมนทุกนาย ผมจะไม่ลืมบุญคุณของทุกท่านเลย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองอภิบาลให้ทุกท่านอยู่เย็นเป็นสุข มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงตลอดไป ด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งจากหัวใจครับ

..... ตั้งใจมั่น จากเด็กชาย สู่นายร้อย
จากหนุ่มน้อย นตท.รอความหวัง
รับกระบี่ ติดดาวเด่น เป็นพลัง ใจ
จริงจังหวังปกปักษ์รักษ์ปฐพี
จะถือเอา สนามยุทธ ดุจเรือนแก้ว
สละแล้ว มารยาท มาตรวิถี
จะโอบอุ้ม ไตรรงค์ ต่างนารี
สองหัตถี ถือศาสตรา ต่างมาลัย

ที่มา : facebook นตท.55

THAI CADET

 

© 2547-2565. All Right Reserved by THAI CADET   TEL./LINE : 0959429193

Made with Pingendo Free  Pingendo logo